เชื่อว่าหลายคนคงเคยได้ยินเรื่องของอาถรรพ์รัก 7 ปี เป็นเหตุที่ทำให้หลายๆ คู่ต้องเลิกรากันไป ว่าแต่ 7 ปีในความสัมพันธ์เป็นเหตุผลให้คนเราเลิกรักกันจริงหรือ? Bride มีคำตอบมาให้ได้อ่านกัน
อาถรรพ์ 7 ปี นี้มีชื่อเรียกว่า “7- years itch” โดยมีสถิติของคู่แต่งงานที่จะหย่ากันในปีที่ 7 และ 8 ถึง 50% รวมถึงทฤษฎีที่ว่าด้วยพฤติกรรม ความคิด ความรู้สึกของคนเราที่จะเปลี่ยนแปลงในทุก 7 ปี โดยเชื่อมโยงกับวงโคจรของดวงดาวตามหลักดาราศาสตร์ (รูดอล์ฟ สไตเนอร์ นักจิตวิทยาและนักมนุษย์ปรัชญาชื่อดัง) บวกกับทฤษฎีของนักเศรษฐศาสตร์คนหนึ่งที่บอกว่า ความรักความสัมพันธ์ของคนสองคนมันไม่ได้มีแต่ความสุข แต่มันคือการช่วยกันจัดการปัญหาของอีกฝ่ายด้วย คล้ายๆ กับที่เราชอบพูดว่าเติมเต็มกันและกัน จนถึงวันที่มันหมดทางแก้ หรือคนใดคนหนึ่งไม่อยากจะแก้ไปด้วยกันอีกแล้ว ทุกอย่างมันก็ต้องจบ แต่ยังมีไฟดวงเล็กๆ ที่จะช่วยประคับประคองความรักความสัมพันธ์ให้กลับมาลุกโชนต่อไปได้ก็คือ ความโรแมนติก หรือความรู้สึกรักแบบไม่ต้องมีเหตุผลใดๆ เพราะจริงๆ แล้ว มนุษย์ เป็นสิ่งมีชีวิตที่ทำทุกอย่างตามอารมณ์ การใช้หัวใจ จึงคงทนและให้ผลรุนแรงกว่าสมองเสมอ
ปัจจัยต่อมา ที่คู่รัก 7 ปีจะต้องเจอคือ “อาการเบื่อ” เนื่องจาก 7 ปีนั้นเป็นเวลาไม่น้อยเลยที่ได้ศึกษาดูใจกัน มันก็ต้องมีช่วงที่เบื่อกันบ้าง ยิ่งทะเลาะกันก็จะมีโอกาสเลิกรากันสูงกว่าเดิม และการที่คบกันนานขนาดนี้ย่อมเริ่มคิดแล้วว่าเราจะแต่งงานกับคนนี้จริงๆ หรือไม่บางคนคิดว่าไม่อยากแต่งกับคนนี้แล้วก็ขอเลิก ยิ่งศึกษาดูใจกันนานเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้ถึงนิสัยใจคอกันมากขึ้นเท่านั้น
รวมไปถึงมีเรื่องของความรักอิ่มตัว ความเคยชิน เป็นอีกปัจจัยหนึ่งสำหรับคู่รักที่คบกันมานานต้องพบเจอ ถึงจะมีหลายปัจจัยที่สุดท้ายท้ายที่สุดหากคู่ของคุณเข้าใจและพร้อมเปิดอกพูดคุยกันอยู่เสมอ หาเวลาอยู่ด้วยบ่อยๆปัญหาเหล่านี้ก็จะเป็นฉนวนเหตุให้เลิกรากันอย่างแน่นอน
สุดท้ายแล้วเรื่องของอาถรรพ์รัก 7 ปี อาจจะไม่ได้มีอยู่จริง เพียงแต่อยู่ที่ตัวบุคคล ดังนั้นการเข้าใจและเคารพซึ่งกันและกันเป็นสิ่งที่สำคัญ มาก ถึงหลายคู่จะเลิกรากันด้วยคำสาปนี้แต่แน่นอนว่ามันจะต้องมีสาเหตุอื่นที่อยู่เบื้องหลังอาถรรพ์นี้อย่างแน่นอน ดังนั้นหมั่นพูดคุยเพื่อปรับความเข้าใจซึ่งกันและกัน ปรับจูนให้ความรักสามารถไปต่อได้ หรือหากเป็นสิ่งที่ยากจะแก้ไขแล้ว การเคารพการตัดสินใจของอีกฝ่าย ก็เป็นสิ่งที่ควรจะทำ อย่าลืมว่าชีวิตไม่มีความแน่นอน การเปลี่ยนใจหรือเปลี่ยนไปของอีกฝ่ายก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดอะไร เพราะแท้จริงแล้วนี่อาจะเป็นเรื่องธรรมชาติหรือสัจธรรมที่ทุกคนต้องเจอ